Politics Military Economy Social Information and Infrastructure, Article and Analysis.

ฝึกอ่านงบหุ้น 7 ม.ค.59

ในวันที่สถานการณ์ตลาดหุ้นผันผวนหนักหลังจากเฉลิมฉลองเทศกาลขึ้นปีใหม่ 2559 แล้ว หมดห้วงการควบคุมกฎเกณฑ์การขายหุ้นของตลาดหุ้นจีน เป็นเหตุให้ต้องพัก หยุด พัก หยุด การซื้อขายไปหลายรอบ 
นอกจากนี้ความกังวลถึงความขัดแย้งในตะวันออกกลาง การแก้ไขปัญหาในซีเรียยังไม่ทันเห็นแสงสว่าง ก็มีปัญหาตุรกี-รัสเซีย กรณียิงเครื่องบินรบรัสเซียตก ปัญหาความขัดแย้งซาอุ-อิหร่าน เป็นปัญหาชีอะห์-สุนนี่ ที่สั่งสมกันมานานก็เริ่มเดือดขึ้น มะรุมมะตุ้ม ส่งผลต่อความไม่แน่นอนของราคาและปริมาณการผลิตน้ำมันในตลาดโลก
ความเสี่ยงในตลาดหุ้นช่วงนี้จึงสูงยิ่ง แต่ใครใจกล้า นักแสวงโชคจากความผันผวน ส่วนต่างราคาก็ว่ากันไปก่อน ใครใจไม่ถึงก็นั่งรอดูสงครามเลือดกันไปพรางๆ ระหว่างรอก็มาฝึกฝนการอ่านงบการเงินบริษัทต่างๆ กันดีกว่า เผื่อตลาดดีขึ้น อาจจะได้หุ้นดีๆ ราคาถูกๆ มาอยู่ในสังกัดเราก็ได้ครับ

วันนี้เลือกหุ้นมาหนึ่งตัว ยังไม่บอกว่าเป็นหุ้นอะไร เดี๋ยวจะมีความลำเอียงเกิดขึ้น
เริ่มจากงบดุลหรืองบแสดงฐานะการเงิน ปีนี้มีเงินสดประมาณ 1,438 ล้านบาท เหลือเยอะมากเมื่อเทียบกับ Market Cap. 3,261 ล้านบาท  ซึ่งสามารถนำมาใช้จ่ายหมุนเวียนในธุรกิจได้ดีไม่มีปัญหา ถ้าจะให้ดีกับบริษัทก็อาจจะนำไปลงทุนต่อยอดในอนาคตอันใกล้ได้ หรือถ้าจะให้ดีกับผู้ถือหุ้น จะนำมาปันผลก็ดีนะ อิอิ (ควรศึกษาธรรมชาติธุรกิจอีกทีนะ)
สินทรัพย์หมุนเวียนมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกปี ดูเหมือนจะดีแต่ต้องไปรายละเอียดอีกทีนะว่า เป็นเพราะสินค้าขายไม่ออกหรือเปล่า หรือจะรอดูยอดขายในงบกำไรขาดทุนก็พอได้นะ  

ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนัก 
สินทรัพย์รวมมีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี

เมื่อมาดูหนี้สินแล้วก็เติบโตขึ้นเช่นกัน แต่ยังน้อยกว่าสินทรัพย์ และส่วนของผู้ถือหุ้นก็มีแนวโน้มเติบโตทุกปี แสดงว่าบริษัทยังมีความมั่นคงอยู่

งบกระแสเงินสด มีเงินสดจากการดำเนินงานเพิ่มทุกปี ยกเว้นปี 57 ที่น่าจะมีปัญหาทำให้เงินสดเป็นลบ แต่อย่างไรก็ตามสามารถกลับมาเป็นบวกได้ในปีนี้ กระแสเงินสดจากการลงทุนลดลงทุกปีๆละประมาณ 200 ล้านบาทอาจจะเป็นการนำไปลงทุน

มีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมจัดหาเงินปีนี้เพิ่มขึ้นมาก 1,343 ล้านบาท ผมแอบไปเหลือบดูรายละเอียดในงบเป็นการกู้เงินระยะยาวมานั่นเอง ทำให้มีกระแสเงินสดเหลือสุทธิ 1,266 ล้านบาท

มาดูงบกำไรขาดทุนบ้าง ยอดขาย และรายได้ ก็ขึ้นๆลง ทรงๆตัว ไม่เติบโตหวีอหวา หรือลดลงแบบฮวบฮาบ

ที่น่าสนใจคืออัตรากำไรสุทธิค่อนข้างสูง มีรายได้ 549 ล้านบาท หักค่าใช้จ่าย ดอกเบี้ย และภาษีแล้วเหลือ 221 ล้านบาท
บริษัทนี้ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากนัก 
แต่ลองคำนวนความคุ้มค่าในการเข้าเทคโอเวอร์กันดีกว่า
สินทรัพย์หมุนเวียน 1,624 ล้านบาท ไม่พอหักจ่ายหนี้สินทั้งหมด 2,028 ล้านบาท งั้นขายสินทรัพย์ที่มีทั้งหมดมาใช้หนี้ จะเหลือเท่ากับส่วนของผู้ถือหุ้น 3,163 ล้านบาท

กำไรสุทธิ 9 เดือนปีนี้ 221 ล้านบาท สมมุติว่าไตรมาสสุดท้ายไม่มีกำไรเข้ามาอีก และเท่าเดิมไปอีก 10 ปี จะมีกำไร 2,210 ล้านบาท

3,163+2,210 = 5,373 ล้านบาท แต่ตอนนี้เขาขายกันอยู่ที่ 3,261 ล้านบาท ถือว่าถูกมากๆ

คงมีคนเถียงว่าในความเป็นจริงเราขายสินทรัพย์ใช้หนี้หมดแล้ว คงไม่สามารถมีกำไรเพิ่มเข้ามาอีกปีละ 221 ล้านบาทเป็นแน่ 555 มันก็จริงครับ ผมแค่เปรียบเทียบเฉยๆ

งั้นดูส่วนต่างสินทรัพย์กับหนี้สิน อยู่ที่ 3,163 ล้านบาท ราคาปัจจุบัน 3,261 ล้านบาทถือว่าสมเหตุสมผลครับ แต่ยังไม่ถูก


ปล. เป็นความเห็นส่วนตัว ของผมนะครับ ไม่ได้ชี้นำ การลงทุนมีความเสี่ยงทุกท่านควรศึกษาเพิ่มเติมก่อนการลงทุน

Share on Google Plus

About Aka

0 comments:

Post a Comment