ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย. 2564
ราคา 6 บาท
จำนวนหุ้นทั้งสิ้น 235 ล้านหุ้น มีมูลค่าตลาด หรือ Market Cap 1,410 ลบ.
งบการเงินล่าสุดมีเงินสด 13.95 ลบ
หนี้สินรวม 1,078.48 ลบ.
ส่วนของผู้ถือหุ้น 939.87 ลบ.
หนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น = 1,078.48 / 939.87 = 1.15 เท่า
มูลค่ากิจการ หรือ Enterprise Value = Market Cap + Dept - Cash = 1,410 + 1,078.48 - 13.95 = 2,474.53 ลบ.
ซึ่งสูงกว่ามูลค่าตลาดถึง 1 พันกว่าล้านบาท คุ้มค่าที่จะเข้าไปเทคโอเวอร์กิจการ
มูลค่ากิจการต่อหุ้นอยู่ที่ 2,474.53 ล้านบาท / 235 ล้านหุ้น = หุ้นละ 10.53 บาท (สมมุติว่าถ้าเราซื้อกิจการทั้งหมดแล้วปิดกิจการขายทุกอย่างออกมา จะกำไรทันที 10.53 - 6 = 4.53 บาท)
บริษัทมีรายได้รวม 2,090.66 ลบ.
กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี EBITDA 220.32 ลบ.
อัตรามูลค่ากิจการต่อกำไรเท่ากับ EV/EBITDA = 2,474.53 / 220.32 = 11.23 เท่า
อัตรามูลค่าตลาดต่อกำไรเท่ากับ Market Cap/EBITDA = 1,410 / 220.32 = 6.4 เท่า
ค่าเสื่อมราคาและตัดจำหน่าย D&A = 94.89 ลบ.
กำไรสุทธิ = 80.83 ลบ.
กำไรต่อหุ้น = 80.83/235 = 0.34 บาท
อัตรากำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ROE = 80.83/939.87 = 8.6 %
อัตราราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ = 17.64 เท่า (ใช้เวลา 17.64 ปีคืนทุน)
แต่สมมุติว่าเราไม่บวกกลับค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (ไม่ได้จ่ายออกจริง) เพื่อดูศักยภาพของกิจการในการทำกำไรจริง = กำไรสุทธิ 80.83 ลบ. + D&A 94.89 ลบ = 175.72 ลบ.
กำไรจริงต่อหุ้น = 175.72 / 235 = 0.74 บาท
อัตราราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ = 1,410 / 175.72 = 8.02 เท่า (ใช้เวลา 8 ปีคืนทุน)
บริษัทนี้น่าซื้อเพราะธุรกิจมีกำไร หนี้สินไม่มาก ราคาไม่แพง
จังหวะเข้าซื้อเมื่อไหร่ดี
กราฟ ABICO รายเดือน ณ วันที่ 3 พ.ค.64 ราคากำลังปรับตัวเป็นขาขึ้น
ปัจจุบันอยู่ที่ 6 บาท สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ( 5.14 บาท) มองเป็นขาขึ้น และยังอยู่ที่ต้นเทรนด์
ราคาที่เหมาะสมสำหรับการเข้าสะสมในการถือยาวประมาณ 5 - 7 บาท รันเทรนด์ถ้าราคาอยู่เหนือกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ยอมตัดขาดทุนถ้าหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน และ/หรือราคาต่ำกว่า 4.4 บาท
ปีหน้ามาดูผลลัพธ์กัน
* เป็นการศึกษาข้อมูลของบริษัทในตลาดหุ้นเท่านั้น
* ไม่รับรองความถูกต้องของข้อมูล เป็นข้อมูลที่ผู้เขียนมี ณ วันที่ 3 พ.ค.64 เท่านั้น
* ไม่ได้ชี้นำการซื้อขาย การตัดสินใจลงทุนเป็นความเสี่ยงเฉพาะบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการลงทุน
0 comments:
Post a Comment